top of page
self-esteem course cover blog page.jpg
  • พิชาวีร์ เมฆขยาย, นักจิตวิทยาองค์กร

3 วิธีอยู่ให้รอดยังไง ในยุค AI แย่งงาน


เดี๋ยวนี้เราคงเคยได้ยินคำว่า เอไอ เอไอ อยู่บ่อยครั้ง ซึ่งสิ่งที่คุณได้ยิน คือ AI ที่ย่อมาจาก Artificial Intelligence หรือปัญญาประดิษฐ์ ซึ่งจริง ๆ แล้วมันก็คือเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยไปเรื่อย ๆ นั่นเอง AI คือ คอมพิวเตอร์ที่พยายามเลียนแบบความฉลาดของมนุษย์ และพยายามจะฉลาดเกินมนุษย์ (เนื่องจากสมองของคนเรามีข้อจำกัด) เหตุที่ AI ฉลาดขึ้นมาก็เพราะมันสามารถเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ จากรูปแบบที่เกิดขึ้นซ้ำ ๆ จนสามารถสร้างสูตรออกมาเพื่อแก้ปัญหาในอนาคตได้ เรียกว่า Machine Learning เช่น AI เรียนรู้รูปแบบการเล่นโกะของคนที่เป็นคู่แข่ง จำนวนหลาย ๆ ครั้ง พร้อมทั้งวิเคราะห์ความเป็นไปได้ทั้งหมดในตาที่เดิน ทำให้สามารถดักทางและเล่นเอาชนะแชมป์โลกได้ในที่สุด ยุคนี้ AI ยิ่งเพิ่มความสามารถในการแบ่งการเรียนรู้ออกเป็นหลากหลายชั้น เรียกว่า Deep Learning ยิ่งทำให้มันฉลาดเข้าไปทุกที ยกตัวอย่างแค่คุณโพสรูปหน้าคนขึ้นโซเชียลมีเดียมันจะรู้ทันทีว่าเป็นรูปของใคร AI มีอัตราการเรียนรู้เร็วขึ้นหลายเท่าตัวและจะทวีอัตราเร็วมากขึ้นเรื่อย ๆ พัฒนาการตอนนี้คือมันเขียนโปรแกรมเองได้แล้ว เล่นโกะชนะแชมป์โกะที่เก่งที่สุดในโลกได้แล้ว อ่านข้อกฎหมายจำนวนมหาศาลและวิเคราะห์เคสในเวลาอันรวดเร็ว เริ่มวินิจฉัยโรคทางกายจากการตรวจจับปฏิกิริยาบางอย่างและโรคทางจิตจากรูปแบบพฤติกรรมของมนุษย์ได้ วาดภาพศิลปะได้ ประพันธ์เพลงได้ หรือวิเคราะห์พฤติกรรมการใช้จ่ายเงินและตัดสินใจให้สินเชื่อแก่ลูกค้าได้เอง ซึ่งผลปรากฏว่าจำนวนการเบี้ยวหนี้น้อยมาก ๆ ซึ่งน้อยกว่าเคสที่พนักงานธนาคารพิจารณาเองเสียอีก แม้กระทั่งเพียงแค่การนั่งดูวิดีโอเกม AI ก็สามารถเขียนเกมออกมาได้เองอีกด้วย ตอนนี้ทั่วโลกจึงมีความพยายามที่จะใช้ AI มาทำงานแทนคนโดยเฉพาะในงานที่ไม่ต้องใช้ทักษะที่ซับซ้อน งานที่ซ้ำซากน่าเบื่อ หรือในโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งช่วยลดต้นทุนได้มหาศาลทีเดียว ร้านอาหารจำนวนมากเริ่มหันมาใช้หุ่นยนต์เสิร์ฟอาหารแทนคน ร้านสะดวกซื้อ Amazon Go นำระบบคิดเงินอัตโนมัติทันทีที่ลูกค้าหยิบของเข้ากระเป๋า แล้วหักเงินในบัตรเครดิตหลังเดินออกจากร้าน โดยไม่ต้องใช้พนักงานแคชเชียร์ประจำที่ร้านอีกต่อไป ในจีนเองที่หันมาปฏิวัตินวัตกรรมในประเทศอย่างจริงจังก็เริ่มเปิดให้บริการธนาคารที่ไม่ใช้คน เมื่อเดินเข้าไปคุณจะเจอแต่หุ่นยนต์ และคอมพิวเตอร์เท่านั้น บริษัทยักษ์ใหญ่ เช่น Google ก็กำลังเร่งวิจัยรถยนต์ไร้คนขับ ซึ่งอีกหน่อยเราจะได้เห็นเครื่องบินที่ไม่ต้องใช้นักบินหลายคน แต่ใช้ AI ขับแทน หรือสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วก็คือ บางโรงพยาบาลเริ่มใช้ AI จัดและจ่ายยาแทนคนแล้ว แม้กระทั่งด้านการตลาดเอง ที่โฆษณาที่คุณเห็นตามเว็บไซต์และหน้า Feed Facebook ตอนนี้ก็ถูกกรองผ่าน AI เพื่อคัดเฉพาะสินค้าที่คุณมีแนวโน้มจะซื้อมาแสดงเท่านั้น เราจะเห็นกระแสการนำเทคโนโลยีเหล่านี้มาใช้ในงานมากขึ้นอีกเรื่อย ๆ ซึ่งไม่ได้อยู่ในรูปของหุ่นยนต์เสมอไป แต่อาจมาในรูปของแอ๊พพลิเคชั่นบนมือถือ หรือโปรแกรมคอมพิวเตอร์บางอย่าง ที่จะช่วยลดจำนวนคนทำงานลงและประหยัดเวลาได้มากขึ้น บอกตามตรงว่าในแง่มุมของนายจ้างบางคนอาจสนับสนุนให้มีการใช้เทคโนโลยีเหล่านี้มากขึ้น เพราะหากไม่ต้องจ้างคนเยอะ นั่นหมายถึงจะสามารถลดปัญหาดราม่าในที่ทำงาน ไม่ต้องเจอปัญหาเรื่องพนักงานเหลวไหลหรืออู้งาน หมดปัญหาพนักงานขาดลามาสาย หมดปัญหาเรื่องการเมืองในองค์กร เลื่อยขาเก้าอี้กัน และสามารถทำงานตลอด 24 ชั่วโมงได้โดยไม่ต้องให้หยุดพัก อย่างไรก็ตาม คนก็ยังคงมีความจำเป็นในงานอยู่ อย่างน้อยก็ในช่วงเวลานี้ เพียงแต่คนทำงานจำเป็นต้องอัพเกรดทักษะตัวเองให้ทำงานที่ซับซ้อนขึ้น ในตำแหน่งที่ AI ยังไม่สามารถทดแทนได้ และปล่อยงานที่ไม่ต้องใช้ทักษะขั้นสูงให้ AI รับหน้าที่ไป ข้อดีคือคนจะลดภาระงานที่ไม่จำเป็นลง รวมถึงได้ทำงานที่ท้าทายและซับซ้อนขึ้น

วิธีอยู่ให้รอดในยุค AI อาจแย่งงาน 1. จงเตรียมพร้อม อย่าโลกสวยคิดว่า งานของฉันไม่โดนแย่งงานหรอก ไม่มีใครทำแทนฉันได้ ซึ่งแม้แต่งานผ่าตัด วินิจฉัยโรค หรืองานของทนายความ AI ยังสามารถทำได้ ก็แสดงว่า AI ยังมีศักยภาพที่จะทำงานแทนงานส่วนอื่น ๆ ได้อีกมาก ทางที่ดีคือหยุดโลกสวยแต่จงเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับ worst case scenario หรือในกรณีถ้ามันจะออกมาเลวร้ายที่สุด คุณควรวางแผนให้พร้อมว่า หากวันหนึ่งคุณต้องตกงานเพราะมีการใช้ AI แทน หรือธุรกิจของคุณไม่รอดเพราะ AI ทำได้ดีกว่า แล้วคุณจะเตรียมความพร้อมในวันนี้อย่างไร แผนสำรองว่าจะทำอะไรต่อไป ทักษะอะไรที่ต้องมีเตรียมไว้ก่อน 2. ใช้ประโยชน์จาก AI ไหน ๆ คุณก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ คุณก็ควรหันมาศึกษาและใช้ประโยชน์จาก AI ในงานให้มากที่สุด เรียกได้ว่าเป็นการทุ่นแรง ปลดภาระงานที่ซ้ำซากน่าเบื่อ แล้วอัพเกรดตัวเองให้ทำงานที่ต้องตัดสินใจซับซ้อนขึ้น ยากขึ้น เรียนรู้การปรับตัวให้ทำงานร่วมกับ AI ซึ่งไม่แน่ว่า อีกหน่อยคุณอาจมีเพื่อนร่วมงานเป็น AI คอมพิวเตอร์ หรือหุ่นยนต์แทนเพื่อนร่วมงานที่เป็นคนก็ได้ 3. เรียนรู้ทักษะที่หลากหลาย คุณต้องยกระดับตัวเองให้ทำหลายอย่างได้มากขึ้น รู้หลายอย่างได้มากขึ้น และมีทักษะการแก้ปัญหาที่ซับซ้อน การมีทักษะหลายอย่างเท่ากับกระจายความเสี่ยงที่บางทักษะของคุณอาจถูก AI แทนที่ไป ซึ่งคุณควรต้องศึกษากระแส แนวโน้ม ติดตามข่าวเทคโนโลยีเอาไว้บ้าง เพื่อจะได้ไหวตัวทันแต่เนิ่น ๆ เพราะข้อจำกัดของมนุษย์เราตอนนี้คือ ต้องใช้เวลาพอสมควรในการเรียนรู้และสร้างทักษะใหม่ขึ้นมา สิ่งสำคัญคืออย่าทำตัวต่อต้านการเปลี่ยนแปลง ยังไง AI และเทคโนโลยีใหม่ต้องมาแน่นอน เราเป็นเพียงมนุษย์ตัวเล็ก ๆ ที่ไม่ควรไปต่อกร แต่ควรจะเรียนรู้ที่จะใช้ประโยชน์และอยู่ให้เป็น ปรับตัวเพื่ออยู่อย่างมีความสุขและยกระดับศักยภาพของเราขึ้นไปอีกขั้นจะดีกว่า

Comments


bottom of page