top of page
self-esteem course cover blog page.jpg
รูปภาพนักเขียนพิชาวีร์ เมฆขยาย

10 สัญญาณที่บอกว่าคุณอาจมีภาวะสมาธิสั้นเทียม


สมาธิสั้นเทียม

ในยุคที่คอนเท้นท์ในโซเชียลมีเดียมีปริมาณมหาศาล เราคงต้องยอมรับว่าเสพคอนเท้นท์ที่ถาโถมเข้ามาแทบไม่ทัน แต่ละคอนเท้นท์ก็ยิ่งมีแนวโน้มสั้นลง คนจะได้ไหลดูได้เร็ว ๆ ทำให้หลายคนเริ่มมีความอดทนต่ำลง ตั้งสมาธิอยู่กับอะไรนาน ๆ เริ่มไม่ได้ ยุคดิจิทัลทำให้การรักษาความสนใจเป็นเรื่องยากยิ่งกว่าเดิม ส่งผลให้หลายคนแม้แต่วัยผู้ใหญ่สงสัยว่าตัวเองอาจมีภาวะสมาธิสั้น หรือที่เรียกกันว่า Attention Deficit Hyperactivity Disorder (ADHD)


แต่ความจริงคือ สิ่งที่หลายคนกำลังประสบอาจไม่ใช่ ADHD จริง แต่อาจเรียกว่าภาวะสมาธิสั้นเทียม ซึ่งเป็นอาการที่คล้ายกับภาวะสมาธิสั้น แต่เกิดจากปัจจัยอื่น ๆ เช่น นิสัย การใช้ชีวิต ความเครียด ความวิตกกังวล หรืออิทธิพลจากสิ่งแวดล้อม


การเข้าใจถึงความแตกต่างระหว่าง ADHD ที่แท้จริงและภาวะสมาธิสั้นเทียมเป็นสิ่งสำคัญ เพราะแต่ละประเภทต้องการวิธีการจัดการและการรักษาที่แตกต่างกัน ในบทความนี้ เราจะสำรวจสัญญาณที่อาจบ่งบอกว่าคุณกำลังเผชิญกับภาวะสมาธิสั้นเทียม และให้คำแนะนำในการสังเกตตนเองเพื่อหาสาเหตุที่แท้จริง


ภาวะสมาธิสั้นเทียมคืออะไร?

ภาวะสมาธิสั้นเทียมคือชุดของพฤติกรรมและอาการที่คล้ายกับภาวะสมาธิสั้น แต่ไม่เข้าเกณฑ์การวินิจฉัยว่าเป็น ADHD จริง ๆ ในขณะที่ ADHD จริงเป็นความผิดปกติทางระบบประสาทที่เกิดขึ้นตลอดเวลา ทุกช่วงชีวิต ภาวะสมาธิสั้นเทียมมักเป็นอาการชั่วคราวและเกิดจากปัจจัยภายนอก เช่น

  • สภาพแวดล้อมที่ทำให้เกิดความเครียดสูง

  • การอดนอนบ่อยครั้ง

  • โภชนาการที่ไม่ดีและขาดการออกกำลังกาย

  • การอยู่กับหน้าจอและดูโซเชียลมีเดียมากเกินไป

  • ความวิตกกังวลหรือภาวะซึมเศร้า

  • การรับคาเฟอีนหรือสารกระตุ้นมากเกินไป


ผู้ใหญ่หลายคนอาจมีอาการคล้ายกับภาวะสมาธิสั้นในช่วงเวลาหนึ่งของชีวิตเนื่องจากปัจจัยเหล่านี้ แต่การรู้และแก้ไขสาเหตุที่แท้จริงจะช่วยบรรเทาอาการได้


ต่อไปนี้ อยากชวนคุณมาสำรวจตัวเองกันว่า คุณมีสัญญาณเหล่านี้เกิดขึ้นบ้างหรือไม่ อย่างน้อยในช่วง 1 เดือนนี้


10 สัญญาณที่อาจบ่งบอกถึงภาวะสมาธิสั้นเทียม
  1. อาการไม่คงที่ในสถานการณ์ต่าง ๆ

    หนึ่งในคุณสมบัติสำคัญของ ADHD คืออาการที่คงที่ในสถานการณ์ต่าง ๆ เช่น ที่ทำงาน บ้าน และสังคม หากอาการของคุณปรากฏขึ้นเฉพาะในบางสถานการณ์ เช่น ช่วงเวลาที่ต้องทำงานที่ตึงเครียด แต่อาจไม่เกิดขึ้นในวันหยุดสุดสัปดาห์ นั่นอาจเป็นสัญญาณของภาวะสมาธิสั้นเทียม เช่น คุณอาจรู้สึกเสียสมาธิอย่างมากในช่วงที่มีความกดดันสูงที่ทำงาน แต่กลับสามารถโฟกัสได้อย่างเต็มที่ในระหว่างทำกิจกรรมยามว่างหรืองานอดิเรก

  2. ยากที่จะมีสมาธิในงานที่ไม่น่าสนใจ

    ในขณะที่ผู้ที่มี ADHD จริงจะพบปัญหาในการโฟกัสแม้ในกิจกรรมที่น่าสนใจ หากคุณพบว่าตัวเองมีสมาธิอย่างมากเวลาได้ทำกิจกรรมที่น่าตื่นเต้นหรือน่าสนใจ แต่กลับไม่มีสมาธิในงานที่ตัวเองไม่อยากทำ นั่นอาจบ่งบอกถึงภาวะสมาธิสั้นเทียม เช่น หากคุณมีปัญหาในการทำงานในออฟฟิศ แต่สามารถใช้เวลาหลายชั่วโมงกับโปรเจกต์ที่คุณหลงใหล นั่นเป็นสัญญาณว่าอาจเป็นเพราะปัจจัยเชิงสถานการณ์มากกว่าปัญหาด้านประสาทวิทยา

  3. การอยู่กับมือถือและหน้าจอมากเกินไป

    เราอยู่ในโลกที่โลกดิจิทัลดึงดูดความสนใจของเราอยู่ตลอดเวลา การใช้หน้าจอมากเกินไปโดยเฉพาะกับแอปโซเชียลมีเดีย วิดีโอเกม หรือบริการสตรีมมิ่ง สามารถทำให้สมองของคุณคุ้นเคยกับข้อมูลสั้น ๆ ทำให้การมีสมาธิเป็นเวลานาน ๆ ทำได้ลำบากขึ้น หากคุณสังเกตว่ายิ่งอยู่กับมือถือมากเท่าไหร่ อาการขาดสมาธิของคุณย่ำแย่ลงมากเท่านั้น นั่นอาจบ่งบอกถึงภาวะสมาธิสั้นเทียมที่เกิดจากการใช้งานดิจิทัลมากเกินไป การลดเวลาอยู่กับหน้าจอจะช่วยพัฒนาสมาธิและการโฟกัสของคุณได้

  4. การอดนอนและการเข้านอนไม่เป็นเวลา

    การอดนอนเรื้อรังสามารถส่งผลกระทบอย่างมากต่อการทำงานของสมอง รวมถึงสมาธิ ความจำ และการควบคุมตนเอง ทำให้อาการคล้ายกับสมาธิสั้น ผู้ที่มีภาวะสมาธิสั้นเทียมมักมีนิสัยการนอนที่ไม่ดี เช่น นอนดึกและนอนน้อย การพักผ่อนไม่เพียงพอจะทำให้คุณเสียสมาธิได้ง่ายในระหว่างวัน หงุดหงิด และขี้ลืม การเข้านอนเป็นเวลา นอนเพียงพอ และให้ความสำคัญกับคุณภาพการนอนสามารถบรรเทาอาการเหล่านี้และฟื้นฟูความสามารถทางการคิดได้

  5. อาการสมาธิสั้นจะเปลี่ยนแปลงตามสภาวะอารมณ์

    ผู้ที่มีภาวะสมาธิสั้นเทียมมักสังเกตว่าอาการของตนเองรุนแรงขึ้นในช่วงที่มีอารมณ์ทางลบ เช่น เครียด วิตกกังวลหรือเศร้า ในช่วงที่มีความเครียดสูง คุณอาจอยู่ในภาวะที่มีแต่ความว้าวุ่นในหัว ความกระสับกระส่าย และไม่สามารถโฟกัสได้ แต่เมื่อคุณผ่อนคลายลงหรือความเครียดหายไป ความสามารถในการโฟกัสของคุณจะกลับมาดีขึ้น การเปลี่ยนแปลงนี้ต่างจาก ADHD ที่อาการคงที่มากกว่าไม่ว่าอารมณ์จะเปลี่ยนแปลงอย่างไร

  6. การดื่มเครื่องดื่มคาเฟอีนและสารกระตุ้นมากเกินไป

    หลายคนพึ่งพาคาเฟอีนในการดำรงชีวิตให้ตื่นตัวระหว่างวัน ในขณะที่การดื่มกาแฟในปริมาณที่เหมาะสมสามารถช่วยเรื่องสมาธิ แต่การดื่มมากเกินไปจะนำไปสู่ความวิตกกังวล ความกระวนกระวาย และแม้กระทั่งลดความสามารถในการโฟกัส หากคุณสังเกตว่าปัญหาสมาธิของคุณแย่ลงหลังจากดื่มกาแฟหรือเครื่องดื่มชูกำลังในปริมาณมาก นั่นอาจบ่งบอกถึงภาวะสมาธิสั้นเทียม การลดการบริโภคคาเฟอีนและเลือกใช้ทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพ เช่น ชาสมุนไพรหรืออาหารเสริมจากธรรมชาติสามารถช่วยบรรเทาอาการเหล่านี้ได้

  7. การผัดวันประกันพรุ่งและความสมบูรณ์แบบนิยม

    จริง ๆ แล้วการผัดวันประกันพรุ่งไม่ได้เกิดจากสภาวะสมาธิสั้นเพียงอย่างเดียว แต่อาจเกิดจากความกลัวความล้มเหลวหรือบุคลิกภาพแบบนิยมความสมบูรณ์แบบได้เช่นกัน ผู้ที่มีภาวะสมาธิสั้นเทียมที่เริ่มต้นงานได้ช้าอาจไม่ใช่เพราะไม่สามารถโฟกัสได้ แต่เพราะรู้สึกกดดันว่าจะต้องทำออกมาให้สมบูรณ์แบบที่สุด หากคุณสามารถจัดการกับความวิตกกังวลหรือความคาดหวังว่าจะต้องสมบูรณ์แบบเหล่านี้ได้ ก็อาจช่วยบรรเทาอาการสมาธิสั้นเทียมได้

  8. ความอ่อนไหวต่อสิ่งที่เข้ามารบกวน

    ผู้ที่มีภาวะสมาธิสั้นเทียมอาจเสียสมาธิได้ง่ายจากสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะท่ามกลางเสียงดังหรือความวุ่นวาย ความอ่อนไหวต่อสิ่งที่เข้ามารบกวนที่เพิ่มขึ้นนี้อาจเป็นผลจากความเครียด ความวิตกกังวล หรืออยู่ในสภาพแวดล้อมที่กระตุ้นมากเกินไป หากสมาธิของคุณดีขึ้นเมื่ออยู่ในสภาพแวดล้อมที่เงียบสงบ นั่นอาจบ่งบอกว่าปัญหาสมาธิของคุณอาจเป็นปัญหาเชิงสถานการณ์มากกว่าปัญหาทางประสาทวิทยา

  9. การทำงานหลายอย่างพร้อมกันและภาระที่มากเกินไป

    สังคมสมัยใหม่มักยกย่องความสามารถในการทำงานหลายอย่างพร้อมกัน แต่สมองของเราไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อจัดการกับข้อมูลหลายสายพร้อมกัน การรับภาระงานมากเกินไปและสลับโฟกัสอยู่ตลอดเวลาอาจสร้างปัญหาเรื่องสมาธิ การพัฒนาทักษะการจัดลำดับความสำคัญ การมอบหมายงานออกไป และการฝึกทำงานให้เสร็จทีละอย่างจะสามารถเพิ่มสมาธิและประสิทธิภาพการทำงานได้อย่างมาก

  10. การใช้ชีวิตที่ไร้ระเบียบ

    ผู้ที่มีภาวะสมาธิสั้นเทียมมักไม่มีกิจวัตรในชีวิตประจำวันเป็นเวลาที่แน่นอน ซึ่งสามารถส่งผลให้รู้สึกไม่เป็นระเบียบและสับสนทางจิตใจได้ การไม่มีตารางเวลาสำหรับกิจวัตรและการทำงานที่แน่นอนทำให้รู้สึกถาโถมจนรับมือไม่ไหวและเสียสมาธิได้ง่าย การวางตารางชีวิตประจำวัน การตั้งเป้าหมายเฉพาะเจาะจง และการใช้เครื่องมือในการจัดการ เช่น Calendar หรือ Planner สามารถช่วยสร้างระเบียบและเพิ่มสมาธิได้


วิธีจัดการกับอาการของภาวะสมาธิสั้นเทียม

หากคุณสังเกตเห็นสัญญาณเหล่านี้ มีวิธีที่คุณสามารถดำเนินการเพื่อจัดการกับอาการของภาวะสมาธิสั้นเทียม


  1. ให้ความสำคัญกับการดูแลตนเอง: กำหนดกิจวัตรประจำวันที่ส่งเสริมสุขภาพ รวมถึงการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ การกินอาหารที่มีประโยชน์ และการพักผ่อนที่เพียงพอ เพื่อส่งเสริมการทำงานของสมอง

  2. จำกัดเวลาการอยู่กับหน้าจอ: ลดเวลาในการใช้อุปกรณ์ดิจิทัลและใช้เทคโนโลยีอย่างมีสติ เพื่อช่วยให้สมองปรับตัวกับช่วงเวลาของการโฟกัสที่ยาวนานขึ้น

  3. ฝึกสมาธิและสติ: เช่น การทำสมาธิหรือการหายใจลึก ๆ เข้ากับกิจวัตรประจำวัน เพื่อเพิ่มสมาธิและลดความวิตกกังวล

  4. แบ่งงานให้ย่อยลง: แบ่งงานใหญ่ ๆ ออกเป็นขั้นตอนเล็ก ๆ ที่จัดการได้ง่ายขึ้นเพื่อป้องกันความรู้สึกรับมือไม่ไหวและหลีกเลี่ยงการผัดวันประกันพรุ่ง

  5. กำหนดกิจวัตรประจำวันที่เป็นระเบียบ: สร้างกิจวัตรประจำวันที่สม่ำเสมอ ใช้ปฏิทินหรือเครื่องมือดิจิทัลเพื่อจัดระเบียบงานและกำหนดเวลาสำหรับการทำงานและการพักผ่อน

  6. ขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญ: หากคุณยังคงมีปัญหาเรื่องสมาธิและสิ่งนี้รบกวนการใช้ชีวิตและการทำงาน ลองพิจารณาพูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิต เพื่อสำรวจสาเหตุที่อาจเกิดจากภาวะวิตกกังวล ความเครียด หรือปัจจัยอื่นที่เกี่ยวข้อง หากคุณไม่รู้ว่าจะต้องเริ่มต้นอย่างไร ลองเข้าไปดูได้ที่นี่ >>


แม้ว่าภาวะสมาธิสั้นเทียมจะคล้ายกับอาการของ ADHD จริง ๆ การเข้าใจถึงสาเหตุที่ทำให้เกิดปัญหาด้านสมาธิและการดูแลตัวเองให้สมดุลมากขึ้นทั้งสุขภาพกายและสุขภาพใจ จะช่วยให้คุณพัฒนาสมาธิของคุณได้ดีขึ้น ที่สำคัญคือการสังเกตและรู้ตัว รวมถึงความมุ่งมั่นที่จะปรับกิจวัตรและมีวินัยกับตัวเอง ขอเป็นกำลังใจให้ทุกคนมีสมาธิและการโฟกัสที่ดีนะคะ

Commenti


bottom of page